5 รูปแบบ สร้างคอนเทนต์ให้โดนใจลูกค้า การทำการตลาดด้วยการสร้างคอนเทนต์ที่น่าสนใจ ดึงดูดใจลูกค้าหรือผู้ที่เข้ามาอ่านนั้น ถือเป็นการเพิ่มโอกาสในการขายมากขึ้น ช่วยพัฒนา Engagement ให้เพิ่มขึ้น รวมถึงการทำคอนเทนต์เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อการจัดอันดับของการค้นหาบน Search Engine อีกด้วย
ซึ่งรูปแบบของการทำคอนเทนต์นั้นมีหลากหลาย และช่องทางในการทำคอนเทนต์นั้นเป็นไปได้ทั้งบนเว็บไซต์และโซเชียลมีเดีย (Social Media) แตกต่างกันไปตามรูปแบบการสื่อสารของแต่ละธุรกิจ 5 รูปแบบ สร้างคอนเทนต์ให้โดนใจลูกค้า แต่อย่างไรก็ตามเว็บไซต์ยังถือเป็นส่งที่สำคัญที่สุดในการปิดการขาย และสามารถแชร์ออกไปตามสื่อโซเชียลอื่นๆได้ตลอดเวลา
5 หลักการสร้างคอนเทนต์ให้โดนใจลูกค้า ได้แก่
- คอนเทนต์หรือบทความที่ดี ควรมีสิ่งที่กระตุ้นความสนใจของคนที่เข้ามาอ่าน พูดอย่างง่ายๆคือสิ่งที่ดึงคนเข้ามาซื้อสินค้าหรือใช้บริการธุรกิจของคุณ และช่วยให้คนสนใจในสิ่งที่ต้องการนำเสนอ เช่น Pop-Up แสดงขึ้นมาให้สมัครสมาชิกระหว่างผู้อ่านกำลังเลื่อนชม, Call to Action โดยอาจจะเป็นปุ่มที่มีคำว่า “คลิกซื้อที่นี่!” “ซื้อเลย” เป็นต้น
- การให้รายละเอียดที่ครบถ้วนและถูกต้อง เช่น กรณีเป็นหน้าสินค้าต้องมีรายละเอียดที่เป็นองค์ประกอบของตัวสินค้า ไม่ว่าจะเป็น สี, ขนาด, ราคา, โปรโมชั่น และลิงก์ซื้อสินค้า ให้ชัดเจน
- คอนเทนต์ในลักษณะการเปรียบเทียบ (comparison) จะช่วยให้ลูกค้าเลือกสินค้าหรือบริการได้ว่าแบบไหนที่เหมาะสมกับเขามากที่สุด แน่นอนว่าจะช่วยให้เกิดความต้องการในตัวสินค้าและการตัดสินใจซื้อมากขึ้น
- การให้ผู้อ่านหรือผู้ที่สนใจมีส่วนร่วมกับคอนเทนต์ โดยคอนเทนต์บนเว็บไซต์ ควรมีความหลากหลาย ไม่เน้นขายอย่างเดียว ควรมีคอนเทนต์ให้ข้อมูลความรู้อื่นๆไว้ด้วย และสิ่งสำคัญควรมีส่วนสำหรับแสดงความคิดเห็น เพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้า
- คอนเทนต์ที่ดีและเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น คือ การเขียนให้คนอ่านเข้าใจง่าย ใช้ภาษาที่สอดคล้อง รวมถึงการจัดหัวข้อการเขียนให้เป็นระเบียบ จะช่วยให้อ่านง่ายและเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว
การทำการตลาดผ่านบทความนั้นมีความสำคัญมากๆสำหรับบริษัท และ ธุรกิจต่างๆ เพราะว่ามันสามารถส่งผลต่อยอดขายของบริษัท รวมไปถึงยอดสมัครบริการของลูกค้าด้วย แต่การทำ Content Marketing นั้นมันไม่ได้ง่าย และ มันก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จได้ง่ายๆเช่นเดียวกัน การทำ Content Marketing 1 บทความให้ประสบความสำเร็จนั้น ผู้ที่เขียน Content เพื่อการตลาด จำเป็นจะต้องมีการวางแผน และ ต้องเข้าใจความต้องการของลูกค้าเป็นอย่างดี เหตุผลที่เราต้องทำความเข้าใจ “ความต้องการของลูกค้า” เพราะตอนที่เราสร้าง Content ขึ้นมานั้น มันจะถูกวัดผลด้วย ยอดขาย หรือ จำนวนที่คนสมัครนั่นเอง
การที่เราจะวัดผลว่า Content Marketing ที่เราสร้างนั้นประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน เราสามารถวัดผลได้จาก Key Performance Indicators หรือ ที่เรามักจะเรียกกันติดปากว่า KPI นั่นเอง ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยให้เข้าใจง่ายๆเลยก็คือ ตัวชี้วัดความเหมาะสม ว่าแคมเปญที่คุณกำลังทำอยู่นั้นดี หรือ ว่าไม่ดี มันยังเป็นตัวช่วยสำหรับนักการตลาด เพื่อที่จะใช้ในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์อีกด้วย ถ้าเกิดว่าเราไม่สามารถทำยอดให้ถึงจุดที่เราตั้ง KPI ไว้ได้ เราก็อาจจะต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางการตลาดนั่นเอง
คอนเทนต์ Marketing ในมุมมองของนัก Affiliate Marketing
การสร้าง KPI ถ้าจะให้คิดถึงในมุมของนัก Affiliate Marketing หลายๆคนต้องคิดถึง “ยอด Conversion” แน่นอน ยิ่งยอด Conversion เยอะเท่าไหร่ ผลตอบแทนที่เป็นค่า Commission ที่นัก Affiliate จะได้รับก็ยิ่งเยอะตามไปด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแคมเปญที่ นัก Affiliate นำไปโปรโมทด้วย สำหรับการตั้ง KPI สำหรับนัก Affiliate สามารถแบ่งได้หลายแบบ สามารถดูรายละเอียดได้ด้านล่าง
- Conversion Rate: คืออัตราการกระทบบางอย่าง ต่อการเข้าชม เช่น จำนวนการกดสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ หรือ จำนวนสินค้าที่ขายได้ผ่าน Content นั้นๆ เป็นต้น
- Click Through Rate (CTR): จำนวนคลิกของปุ่มโฆษณา ที่ถูกหารด้วยจำนวนครั้งที่โฆษณาปรากฎ
- Cost Per Lead (CPL): อีกหนึ่งตัวที่ใช้ชี้วัดต้นทุนของแคมเปญ ด้วยการหารด้วยโอกาสในการสมัครของแต่ละ Content ที่เราสร้างขึ้นมา เพื่อเช็คว่า Content Marketing อันไหน หรือ Content Marketing ประเภทไหนที่ใช้ต้นทุนในทำให้ ลูกค้ากรอกข้อมูล เพื่อทำการสมัคร และ คุ้มค่ามากที่สุด
โดยรวมการสร้างคอนเทนต์มีความหลากหลาย เช่นเดียวกับกลุ่มเป้าหมายการอ่านที่มีความซับซ้อนและแตกต่างกัน การสร้างคอนเทนต์ให้ตอบโจทย์ ควรมีการกำหนดเป้าหมายว่าเพื่อการขาย เพื่อโปรโมชั่น หรือเพื่อให้ความรู้ ซึ่งสามารถทำควบคู่ไปด้วยกันได้ แต่สิ่งสำคัญคือการให้ข้อมูลที่ชัดเจนที่สามารถกระตุ้นความสนใจให้ได้มากที่สุด และการตัดสินใจเลือกซื้อจะตามมา