ทุกวันนี้ ในปี 2564 การทำการตลาดผ่านช่องทาง SEO ก็ยังคงเป็นที่พูดถึงในแวดวงการทำการตลาด และยังมีคนอีกมากที่เริ่มต้นให้ความสนใจ ที่จะหันมาให้ความสำคัญกับช่องทางนี้มากขึ้น สำหรับใครที่ยังลังเล ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นให้ความสำคัญกับ การทำ SEO ได้หรือยัง ? บทความนี้ได้รวบรวมสถิติเกี่ยวกับการทำ SEO ที่น่าสนใจที่คุณสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการวางแผน SEO
1. การใช้งาน
1.1 สัดส่วนการเข้าชมเว็บไซต์
ส่วนใหญ่มาจากการใช้ Search Engine จากสถิติของการเข้าชมเว็บไซต์ที่สามารถวัดผลได้ มีการเข้าไปยังเว็บไซต์ ผ่านการใช้ Search Engine มากถึง 68% และกว่า 53% เป็น Organic Search (การเข้าชมเว็บไซต์ผ่านผลลัพธ์การค้นหา ที่มีการกดเข้ามาจาก SEO โดยไม่ผ่านสื่อที่เสียเงิน)
จากสถิตินี้ทำให้เราเห็นว่า จำนวนผู้ใช้ Search Engine ในการเข้าถึงแบรนด์ต่าง ๆ มีมากกว่า 50% ซึ่งมากกว่าทั้งการเข้าผ่าน Banner Ads และ Social Media เห็นอย่างนี้แล้ว สำหรับใครที่ยังลังเลใจ ก็อาจจะเห็นภาพมากขึ้นแล้วใช่ไหมว่า การทำ SEO จะทำให้เราเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น
1.2 Google Image อีกช่องทางในการทำ SEO ให้น่าสนใจ
จากสถิติของการเข้าชมเว็บไซต์ในอเมริกา มีการเข้าเว็บไซต์จากการค้นหารูปภาพผ่าน “Google Image” ถึง 21% แล้ว การค้นหา Google ในรูปแบบของรูปภาพต่าง ๆ แต่นักการตลาดหลายคน อาจจะมองข้ามไปว่านี่คืออีกช่องทางสำคัญ ที่จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจคลิกเข้าชมเว็บไซต์ของเรา
ดังนั้นการใส่ Keyword ที่เราเลือกเอาไว้ใส่เข้าไปใน “Alternative Text” ก็จะทำให้ Google สามารถเก็บข้อมูลได้มากขึ้น ซึ่งจะมีผลกับ SEO
2. การจัดอันดับ
2.1 Traffic จาก Organic Search
ในปัจจุบันบน Search Engine อย่าง Google มีเว็บไซต์อยู่ทั้งหมด 4.45 พันล้านเว็บไซต์ด้วยกัน ซึ่งแน่นอนว่าเว็บไซต์ของพวกเราก็ถูกรวมอยู่ในนั้น และถูก Google นำไปใช้เก็บข้อมูล และ วิเคราะห์ต่าง ๆ แต่จากสถิติที่น่าสนใจของ Ahrefs ระบุว่าเว็บไซต์กว่า 90.63% นั้นไม่เคยมี Traffic เข้ามาจาก Organic Search เลย
ซึ่งถ้าลองคำนวนดูแล้วเรียกได้ว่ามีเว็บไซต์อยู่มากมายมหาศาล ที่จะต้องพึ่งเพียงแค่การจ่ายเงินผ่าน Paid Search ต่าง ๆ เพื่อดึงคนเข้าเว็บไซต์ ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่เราทุกคนควรเริ่มต้นที่จะใส่ใจ SEO
2.2 การทำ SEO ต้องใช้เวลา
สำหรับคนที่เคยทำ SEO เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงเคยมีความคิด มีความสงสัยว่าทำไมหน้าเว็บไซต์ของเราถึงไม่ขึ้นไปอยู่อันดับต้น ๆ สักที ซึ่งด้วยปัญหานี้ก็ทำให้หลาย ๆ คนถอดใจ และ มีความรู้สึกอยากเลิกใช้ช่องทาง SEO ในการทำการตลาด
จากสถิติค่าเฉลี่ยของหลาย ๆ หน้าเว็บไซต์ที่สามารถขึ้นไปอยู่บนอันดับต้นๆ ของ Search Engine ล้วนกินเวลาไปถึง 2 ปี ถึงจะได้อันดับดี ๆ อย่างในปัจจุบัน โดยมีเพียง 5.7% เท่านั้นที่ขึ้นไปอยู่ Top 10 ภายในเวลาไม่เกินปี
2.3 Meta Description
องค์ประกอบ SEO สำคัญที่คุณไม่ควรมองข้าม อย่างที่หลาย ๆ คนรู้กันว่าการทำ SEO นั้นมีองค์ประกอบสำคัญอยู่หลายอย่าง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ “Meta Description” ที่ Google จะนำไปแสดงผลตรงหน้าค้นหา ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้ารู้ว่าหน้าเว็บฯ นั้นเกี่ยวข้องกับอะไร ?
จากสถิติของ Ahrefs การแสดงผล Meta Description การใช้ Keyword ประเภท “Fat-head Keywords” จะมีโอกาสแสดงผลสูงกว่าค่าเฉลี่ย แล้วทำอย่างไร Meta Description ถึงจะถูกแสดงออกมา ? คำถามนี้คงผุดขึ้นมาสำหรับผู้อ่านหลาย ๆ คน ซึ่งจากสถิติด้านบนการใช้ Keyword ประเภท “Fat-head” (Keyword สั้น ๆ ประมาณ 1 – 2 คำที่กว้าง ๆ เช่น รองเท้า ซื้อรองเท้า) จะทำให้มีโอกาสที่ Meta Description จะถูกแสดงผลถึง 40.35% ในขณะที่ค่าเฉลี่ยโดยทั่วไปจะอยู่ที่ 37.22%
3. Backlink
การที่เว็บไซต์อื่น ๆ ใส่ลิงก์กลับมาหาบทความของเรา เป็นอีกสิ่งที่ทำให้เว็บไซต์มีโอกาสเข้าไปอยู่ในอันดับต้น ๆ ซึ่งทาง Google ก็ได้ระบุเลยว่า Backlink เป็นหนึ่งใน 3 องค์ประกอบที่มีผลต่อ การทำการตลาดผ่านช่องทาง SEO มากที่สุด (อีกสององค์ประกอบได้แก่ คอนเทนต์ และ ระบบอัลกอริทึมที่ชื่อว่า Rankbrain)
จากการเปิดเผยของ Ahref เว็บไซต์ใดที่มี Backlink (บทความหรือเว็บไซต์ ถูกผู้อื่นพูดถึงและใส่ลิงก์เชื่อมกลับมาในช่องเว็บไซต์อื่น ๆ ) จำนวนมาก ก็ยิ่งทำให้เว็บไซต์นั้น ๆ มี Traffic หรือ ผู้เข้าชมเว็บไซต์ ที่มาจากช่องทางการใช้ Organic Search เยอะขึ้น อย่างไรก็ตาม กว่า 66% ของหน้าเว็บไซต์ ไม่มี Backlinks
จากสถิติของ Ahrefefs ข้างต้น การที่เราจะได้ Backlink กลับมาไม่ใช่ว่าเราจะสามารถได้มาง่าย ๆ ซึ่งส่วนใหญ่การจะได้มาซึ่ง Backlink บทความของเราต้องเป็นคอนเทนต์ที่มีคุณภาพจริง และเป็นที่ยอมรับ อย่างไรก็ตาม
หลายเว็บไซต์ที่ใช้วิธีลัดที่จะช่วยให้เราได้ Backlink ง่ายมากขึ้นซึ่งนั่นก็คือ การซื้อ และ การแลกเปลี่ยน Backlink ซึ่งกันและกัน 43.7% ของเว็บไซต์ที่ทำ SEO ได้อันดับต้น ๆ ใช้วิธีการแลกเปลี่ยน Backlink กับเว็บไซต์อื่น ถ้าหากเราดูจากสถิติแล้ว เราจะเห็นได้ว่าจะ มีเว็บไซต์จำนวนไม่น้อยที่ใช้วิธีแลกเปลี่ยน Backlink ในการเพิ่มโอกาสในการได้อันดับ SEO สูง ๆ
4. Keyword
4.1 ความยาวของ Keyword กับอันดับ SEO
อย่างที่ได้พูดถึงไปก่อนหน้าแล้วสำหรับประเภทของ Keyword ที่มีอยู่ 2 ประเภทหลัก ๆ ด้วยกันนั่นคือ Long Tail Keyword และ Fat Head Keyword ซึ่งนอกจากจะมีผลต่อการแสดงผลของ Meta Description แล้ว ความยาวของ Keyword ก็มีผลต่ออันดับการค้นหาเช่นเดียวกัน
จากสิถิติของ Ahrefs ระบุว่า มีแค่ 7% ของการค้นหาเท่านั้นที่มีความยาวตั้งแต่ 4 คำขึ้นไป Keywords ที่ได้รับการค้นหาต่อเดือน 10,000 ครั้งขึ้นไป พบว่าส่วนใหญ่ (87%) มีความยาวไม่เกิน 2 คำ การเลือก Keyword ก็มีอีกส่วนที่ต้องพิจารณา ซึ่งนั่นก็คือโอกาสในการกลายมาเป็นลูกค้า เพราะคำค้นหาที่ยาวกว่า (Long Tail Keyword) อาจหมายความว่าผู้ค้นหามีความต้องการเฉพาะเจาะจง และชัดเจน
4.2 การใช้คำถามเป็น Keyword
คำถามที่เป็น Keyword 8% ของคำค้นหา (Queries) ที่เกิดขึ้นเป็นคำถามสั้น ๆ ถ้าหากคุณกำลังสงสัย ไม่รู้ว่าจะใช้หัวข้ออะไรในการทำคอนเทนต์ดี สถิติทางด้านบนของ Moz (ผู้ให้บริการเครื่องมือด้าน SEO) ก็น่าจะช่วยให้เรามีไอเดียมากขึ้นได้ ซึ่งการใส่คำถามเข้าไปจะช่วยเพิ่มความหลากหลาย และ โอกาสในการเข้าถึงลูกค้าที่มากขึ้น ซึ่งลูกค้าที่ค้นหาด้วยคำถามอาจจะเป็นกลุ่มที่ลังเล ซึ่งเราก็สามารถใช้ Keywod นี้ในการทำคอนเทนต์ที่แสดงผลขึ้นมาอันดับต้น ๆ มาช่วยลูกค้าตัดสินใจได้
5. พฤติกรรมของลูกค้า
5.1 SEO กับการตัดสินใจซื้อ
39% ของผู้บริโภคระบุว่าการค้นหาข้อมูลสินค้าใน Google มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ หลาย ๆ คน ถ้าเริ่มมีความสนใจ อยากจะซื้อสินค้า หรือ บริการอะไรสักอย่าง มันก็ต้องมีบ้างที่จะต้องหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า และบริการนั้น ๆ
ซึ่งถ้าดูจากสถิติแล้วจะสังเกตได้ว่า การทำ SEO ให้ดีเพื่อให้มีเว็บไซต์ของเราขึ้นมา จะช่วยให้เราสามารถเข้าถึงลูกค้าในช่วงเวลาแห่งการตัดสินใจได้ และนี่คือเหตุผลว่าทำไมธุรกิจต่าง ๆ ถึงจำเป็นต้องใช้ SEO ในการเข้าถึงลูกค้า
5.2 SEO กับพฤติกรรมการใช้ Smartphone
จากสถิติของ Statista 52.2% ของผู้เข้าชมเว็บไซต์ มาจากการใช้โทรศัพท์มือถือทั้งสิ้น ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทุกคนก็คงจะรู้ว่าสถิติการใช้ Smartphone สูงขึ้นขนาดไหน ซึ่งหนึ่งในองค์ประกอบของการจัดอันดับ SEO ก็คือการทำให้เว็บไซต์ของเรามีความ “Mobile-friendly” หรือ การทำให้เว็บไซต์ของเรามีขนาดเหมาะสม และ มีประสิทธิภาพเต็มที่เมื่อเล่นบนมือถือ
ถ้าหากใครสนใจ อยากรู้ว่าเว็บไซต์ของคุณมีความ “Mobile-friendly” แล้วหรือยัง ก็สามารถเข้าไปทดสอบกันได้ง่าย ๆ ด้วยการไปค้นหาใน Google ด้วยคำว่า “Mobile Friendly Test”แล้วใส่ URL เข้าไปเพื่อวัดผลครับ บทความนี้รวบรวมสถิติ ที่พอจะเป็นประโยชน์ของ การทำการตลาดผ่านช่องทาง SEO มาให้ทุกๆคนได้นำไปปรับใช้ได้
บทความที่น่าสนใจ :